ด้านการแพทย์และสาธารณสุข
 |
พระราชนิพนธ์ กันป่วย
ทรงพระราชนิพนธ์พระราชทานเป็นคู่มือประจำตัวทหารและเสือป่า
เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยและการปฐมพยาบาล |
ด้วยทรงตระหนักดีถึงพุทธภาษิตที่ว่า อโรคยา ปรมา
ลาภา หรือ ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
จึงทรงใฝ่พระราชหฤทัยบำรุงอนามัยของพสกนิกร
ทรงถือว่า ...อนามัยเปนกรณียะอัน
๑ ในการปกครองบ้านเมือง
ถ้าพลเมืองป่วยไข้ไม่สมประกอบ
ต้องนับว่าประเทศนั้นขาดปัจจัยแห่งความสมบูรณ์...
[๑]
แนวพระราชดำริดังกล่าวนั้นมีพยานปรากฏมาแต่ยังครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
ซึ่งได้ทรงแสดงให้ประจักษ์เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เมื่อวันที่
๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ดังมีความตอนหนึ่งว่า
...ตั้งแต่แรกเรากลับมาจากการศึกษา
ก็ได้มาแลเห็นสภากาชาดของเรา
ซึ่งในเวลานั้นมีอาการแปลกกับที่ได้จัดขึ้นใหม่ในบัดนี้
คือ
ยังจัดไปโดยหนทางดำเนินการที่เข้าใจผิดอยู่
ตัวเราองในครั้งนั้นได้รับภาระช่วยเหลือฉลองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมราชชนนีผู้เปนสภานายิกา
จึงได้คิดถึงการที่จะแก้ไขระเบียบการในสภากาชาดให้ลงรอย
แลได้กราบทูลว่าควรมีโรงพยาบาลขึ้นโรงหนึ่ง
เพื่อประสงค์ให้เปนที่ฝึกหัดนายแพทย์
ฝ่ายทหารแลหัดคนพยาบาลให้ชำนิชำนาญ
การของสภากาชาดนั้นเราเข้าใจเสียว่าจะทำแต่ในเวลาสงคราม
ถึงกระนั้นก็ดี ในการรักษาโรคก็ดี
การพยาบาลก็ดี
ไม่ใช่คนหนึ่งคนใดสักแต่ว่าเปนคนแล้วก็ทำได้ดังนั้นหามิได้
ต้องอาไศรยการเล่าเรียน
เพราะฉะนั้นไม่ว่าชาติใด
จำเปนต้องมีสถานที่ไว้เปนที่ศึกษาของนายแพทย์
เมื่อถึงเวลาจะต้องใช้ในการงานสงครามจะได้ไม่เสียงาน...
[๒]
|
 |
ตึกอำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ |
จึงได้ทรงพระราชดำริร่วมกับนายพลเอก
พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช
ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ
เตรียมการที่จะจัดตั้งโรงพยาบาลของสภากาชาดสยามขึ้นตามแบบอย่างโรงพยาบาลของสภากาชาดญี่ปุ่นที่ได้ทอดพระเนตรเมื่อคราวเสด็จนิวัติพระนคร
พ.ศ. ๒๔๔๕
แต่เพราะโอกาสยังไม่เหมาะและเป็นการที่ใช้ทุนทรัพย์มาก
การจึงได้เนิ่นช้ามาจนถึงคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต
จึงได้ทรงพระราชดำริพร้อมด้วยพระเชษฐภคินีพร้อมกันบริจาคพระราชทรัพย์และทรัพย์ส่วนพระองค์จัดสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสืบมา
ครั้นสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนี พันปีหลวง เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ.
๒๔๖๒ ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้าง สถานเสาวภา
ขึ้นที่ฝั่งตะวันตกของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
พระราชทานให้เป็นที่ทำการของกองวิทยาศาสตร์
สภากาชาดสยาม โดยมีส่วนงานที่สำคัญในสังกัด คือ
 |
สถานเสาวภา
พระบรมราชินยานุสาวรีย์ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนี พันปีหลวง |
๑ สถานปาสเตอร์
มีน่าที่แยกธาตุในสิ่งต่างๆ
เนื่องด้วยการพยากรณ์โรค ตรวจค้นเชื้อโรค
และทำวัคซีนเซรุ่มกับทำการรักษาโรคกลัวน้ำอันเนื่องแต่พิษเขี้ยวสุนักข์และรักษาพิษงู...
๒
โรงเรียนบัคเตรีวิทยาปราสิตวิทยา
และวิชาเรื่องโรคระบาทว์
เพื่อเปนสำนักศึกษาประกอบวิชาแพทย์ อัศวแพทย์
และสัตวแพทย์...
[๓] |
 |
สวนลุมพินีและพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ต่อมาในคราวที่จะโปรดเกล้าฯ
ให้จัดงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์เนื่องในการพระราชพิธีสมภาคาเฉลิมสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่
๒ ก็ได้โปรดเกล้าฯ
พระราชทานที่ดินส่วนพระองค์ที่ฝั่งตะวันออกของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ให้เป็นสวนสาธารณะพระราชทานนามว่า
สวนลุมพินี จึงปรากฏเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์และ
พระบรมราชินยานุสาวรีย์เรียงเคียงกันเป็นพยานแห่งความรักและผูกพันของทั้งสามพระองค์สืบมาจนถึงทุกวันนี้
 |
ปาร์คหิมพานต์หรือปาร์คสามเสน
ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้กรมพระคลังข้างที่รับซื้อไว้
แล้วพระราชทานให้กระทรวงนครบาลจัดเป็น วชิรพยาบาล |
นอกจากนั้นเมื่อแรกเริ่มรัชสมัยก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้กรมพระคลังข้างที่จัดการซื้อตึกและที่ดินริมถนนสามเสน
แล้วพระราชทานให้กระทรวงนครบาลจัดเป็นโรงพยาบาลสำหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยเจ็บในพื้นที่ตอนเหนือของกรุงเทพฯ
พระราชทานนามว่า วชิรพยาบาล เมื่อวันที่ ๒
มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๕
ต่อมาในคราวเสด็จพระราชดำเนินเลียบหัวเมืองมณฑลปักษ์ใต้เมื่อ
พ.ศ. ๒๔๖๐ ก็ได้โปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการก่อสร้างตึกวชิระพยาบาล
เป็นตึกหลังแรกของโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตอีกด้วย
ส่วนการวางรากฐานสาธารณูปการของประเทศนั้น
ได้ทรงพระราชดำริให้กรมศุขาภิบาล
กระทรวงนครบาลริเริ่มวางรากฐานการประปาในกรุงเทพฯ
มาตั้งแต่ครั้งทรงเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนครในปี
พ.ศ. ๒๔๕๐ ดังมีความตอนหนึ่งใน สมุดจดรายวัน เล่ม
๒ วันที่ ๒๔ มิถุนายน ถึงวันที่ ๑๔ ตุลาคม ร.ศ.
๑๒๖ ว่า
วันที่ ๑๒ สิงหาคม
เรื่องน้ำกินในกรุงเทพ ฯ (๓)
กรมศุฃาภิบาลเสนอเรื่องคิดจัดให้มีน้ำจืดกินและใช้ในกรุงเทพฯ
ตามความคิดเดิมว่าจะฝังท่อมาจากเชียงรากนั้น
จะเปลืองเงินมากเหลือเกิน บัดนี้ได้คิดใหม่
คือจะขุดคลองน้ำจืดจากเชียงรากลงมาจนถึงกรุงเทพฯ
เมื่อผ่านคลองรังสิตจะมีท่อ (Syphon)
ลอดใต้คลองรังสิต ทางกรุงเทพฯ
นี้จะตั้งโรงสูบสูบน้ำขึ้นจากคลองน้ำจืดที่สามเสน
จะใช้กรองด้วยเครื่องไฟฟ้าทำโอโซน (Ozone) ขึ้น
เมื่อกรองสะอาดดีแล้ว
ให้เดินไปตามท่อที่จะได้ฝังไปตามถนน
ถ้าผู้ใดประสงค์ก็ฝังเข้าไปให้ใช้ได้ถึงในบ้าน
จะคิดค่าน้ำที่ใช้นั้นคิวบิคเมเตอร์ละบาท
ซึ่งคิดไปแล้วดูจะถูกกว่าจ้างคนหาบ
ประมาณเงินที่จะต้องใช้ในการทำทุกประการสามล้านบาทเศษ
นายช่างว่าจะทำให้แล้วเสร็จภายใน ๒ ปี
ในที่ประชุมก็แลเห็นอยู่พร้อมกันว่าความคิดของเฃาดีมาก
และเชื่อว่ารัฐบาลคงจะได้กำไร
เพราะคนคงจะยินดีใช้น้ำนั้นเปนแน่
ยิ่งเวลาที่น้ำแม่น้ำเค็มแล้ว
ก็จะแลเห็นประโยชน์มาก
แต่เงินที่จะต้องใช้นั้นมากมายนัก...
[๔]
การขุดคลองน้ำจืดจากเชียงรากมาจนถึงโรงกรองน้ำที่สามเสน
รวมทั้งจัดการฝังท่อส่งน้ำจากโรงกรองน้ำที่สามเสนไปจนถึงบ้านเรือนราษฎรในกรุงเทพฯ
จึงต้องใช้เวลาดำเนินการถึงเกือบ ๗ ปีจึงแล้วเสร็จ
และได้เสด็จพระราดำเนินทรงเปิดประปาสถาน (โรงกรองน้ำสามเสน)
เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๗ และ ...ตั้งแต่ได้จำหน่ายน้ำประปามาแล้ว
ไข้อหิวาตกะโรคที่ในกรุงเทพฯ
จะนับว่าไม่มีเลยก็ได้...
[๕] |
ต่อจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๖๑ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยก
...การสุขาภิบาล
แพนกป้องกันความป่วยไข้ให้ความสุขแก่ประชาชน คือ
(Public Health)...
[๖]
จากกระทรวงนครบาลรวมเข้ากับกรมประชาภิบาล
ตั้งขึ้นเป็นกรมใหญ่ในกระทรวงมหาดไทย
พระราชทานนามว่า กรมสาธารณสุข
แล้วจึงได้มีการยกระดับกรมสาธารณสุขขึ้นเป็นกระทรวงสาธารณสุขในเวลาต่อมา
ทั้งยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งศุขาภิบาลและโอสถศาลาเพิ่มเติมขึ้นในหัวเมืองต่างๆ
เป็นลำดับ
นอกจากนั้นยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติการแพทย์ พ.ศ. ๒๔๖๖
ให้มีการจัดตั้งสภาการแพทย์
[๗]
เพื่อ
...วางระเบียบบังคับ
และเลื่อนฐานะแห่งการประกอบโรคศิลปะให้สูงยิ่งขึ้น...
[๘]
อันเป็นผลให้ประชาชนได้รับสวัสดิภาพในการรักษาพยาบาลจากบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับอนุญาต