ดุสิตธานีเมื่อแรกเริ่มนั้นมีทวยนาครหรือพลเมืองประกอบไปด้วยข้าราชการในพระราชสำนัก
เสนาบดีและข้าราชการจากต่างกระทรวงจำนวนเกือบ ๓๐๐
คน
ทวยนาครทุกคนล้วนมีอาชีพการงานและมีถิ่นฐานบ้านช่องที่แน่นอน
ส่วนผู้ที่ไม่มีบ้านเป็นของตนเองก็ต้องเช่าบ้านของกรมพระคลังข้างที่
ซึ่งรายได้จากค่าเช่าบ้านนั้นได้พระราชทานไปบำรุงการกุศลสาธารณะต่างๆ
เช่น สมทบจัดซื้อเรือหลวงพระร่วง
และบริจาคให้สภากาชาดสยาม เป็นต้น
ในส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
นอกจากคราวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดศาลารัฐบาลมณฑลดุสิตธานีและทรงวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ทหารอาสา
ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเหยียบดุสิตธานีในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสยามแล้ว
ก็คงดำรงพระองค์เป็นทวยนาครคนหนึ่งของดุสิตธานี
ทรงใช้พระนามแฝงว่า นายราม ณ กรุงเทพ เนติบัณฑิต
ประกอบอาชีพทนายความ กับทรงเป็นพระรามราชมุนี
เจ้าอาวาสวัดธรรมาธิปไตย
|
พระยาสุจริตธำรง (โถ สุจริตกุล - พระยาอุดมราชภักดี)
นคราภิบาลผู้มีสัก ท่านแรกของดุสิตธานี |
เมื่อการก่อสร้างบ้านเรือนรวมทั้งอาคารสาธารณะต่างๆ
ภายในดุสิตธานี เช่น วัด โรงพยาบาล โรงทหาร
โรงเรียน ธนาคาร ร้านค้า ฯลฯ
ที่สรรสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมหลากหลายรูปแบบในอัตราส่วนราว
๑ : ๒๐ ของอาคารจริงแล้วเสร็จลง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็โปรดให้ทวยนาครทั้งหมดมาประชุมพร้อมกันเลือกนคราภิบาลเพื่อทำหน้าที่บริหารราชการในจังหวัดดุสิตราชธานีเป็นครั้งแรก
เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๑
ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดและได้รับเลือกเป็นนคราภิบาลคนแรก
คือ พระยาสุจริตธำรง (โถ สุจริตกุล)
[๑]
ภายหลังจากที่ทรงจัดให้มีการเลือกตั้งและคณะนคราภิบาลได้เข้าบริหารงานมาได้ระยะเวลาหนึ่ง
อันทำให้ทรงทราบถึงผลการทดลองที่ได้ทรงจัดไปในเบื้องต้นแล้ว
ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตรา ธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาลดุสิตธานี
พระพุทธศักราช ๒๔๖๑ ขึ้นเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๔๖๑
โดยมีบทบัญญัติครอบคลุมถึงการเลือกตั้งและอำนาจหน้าที่ของนคราภิบาล
การบำรุงรักษาความสะอาดและป้องกันโรคภัย
การสับเปลี่ยนและตั้งนคราภิบาล
หน้าที่ของสภาเลขาธิการ
ทุนและการเงินทองของคณะนคราภิบาล
รวมถึงการกำหนดโทษผู้กระทำผิด และการรักษาธรรมนูญ
แล้วจึงโปรดเกล้าฯ
ให้มีการเลือกตั้งนคราภิบาลครั้งแรกตามบทบัญญัติแห่งธรรมนูญลักษณะปกครองฯ
เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๑
การเลือกตั้งนคราภิบาลครั้งนี้ยังคงใช้วิธีให้ทวยนาครทุกคนลงคะแนนเลือกนคราภิบาลเช่นเดียวกับครั้งก่อนหน้า
แต่ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นคราภิบาลครั้งนี้ คือ
พระยาอนิรุทธเทวา (หม่อมหลวงฟื้น พึ่งบุญ)
และในวันเดียวกับที่มีการเลือกตั้งนั้นเองก็มีพระราชดำริว่า
...ธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาลดุสิตธานี
พระพุทธศักราช ๒๔๖๑...
ยังมีข้อขาดตกบกพร่องอยู่บ้าง
ซึ่งสมควรจะเพิ่มเติมให้สมบูรณ์หรือแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น...
[๒]
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พระราชกำหนดเพิ่มเติมและแก้ไขธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาล
พระพุทธศักราช ๒๔๖๑ โดยเพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วย
ตำแหน่งเชษฐบุรุษ
เพื่อเป็นผู้แทนทวยนาครในอำเภอเข้าไปนั่งในสภากรรมกรรมการ
นคราภิบาล
และสิทธิแห่งเชษฐบุรุษเนื่องในการเลือกนคราภิบาล
รวมทั้งสิทธิของผู้ดำรงตำแหน่งเชษฐบุรุษกิตติมศักดิ์
แล้วได้โปรดกล้าฯ
ให้มีการเลือกเชษฐบุรุษเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๓
มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ ต่อจากนั้นอีกเจ็ดวันคือ วันที่
๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๑
เชษฐบุรุษที่ได้รับการเลือกตั้งมาทั้งสี่คนจึงได้ประชุมพร้อมกันกันเลือกนคราภิบาล
ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นนคราภิบาลในครั้งนี้ยังคงเป็นพระยาอนิรุทธเทวาดังเดิม
ต่อมาวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๒
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้แก้ไขธรรมนูญลักษณะปกครองดุสิตธานีอีกครั้งหนึ่ง
โดยให้เปลี่ยนการเลือกเชษฐบุรุษจากเดิมอำเภอละหนึ่งคน
ไปเป็นตำบลละหนึ่งคน
และในวันเดียวกันนั้นก็ได้มีประกาศศาลารัฐบาลมณฑลดุสิตธานีกำหนดให้
ท่านราม ณ กรุงเทพ เนติบัณฑิต
ซึ่งเป็นผู้มีคุณวุฒิและความสามารถหาผู้ที่จะเสมอมิได้
เป็นผู้รับอำนาจอำนวยการเลือกเชษฐบุรุษและนคราภิบาล
ท่านราม ณ กรุงเทพ
จึงได้จัดให้มีการเลือกเชษฐบุรุษโดยใช้วิธีการลงคะแนนสว่าง
คือ
(๑)
เรียกบรรดาทวยนาครในตำบลที่จะเลือกเชษฐบุรุษให้ยืนขึ้น
(๒)
ขอให้ผู้ใดผู้หนึ่งสมมุติทวยนาครผู้หนึ่งเป็นเชษฐบุรุษ
และมีผู้รับรองนายหนึ่ง
และถามไปจนกว่าไม่มีใครสมมติกันอีก
(๓) ให้ทวยนาครยกมือการแสดงการลงคะแนนเลือก
และเมื่อที่ประชุมได้ลงมติเลือกเชษฐบุรุษครบทุกตำบลในวันที่
๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ แล้ว
ก็ได้มีการเสนอชื่อบุคคลเข้ารับการเลือกตั้งเป็นนคราภิบาล
รวม ๒ นาย คือ
(๑) นายรองพลพ่าห์ (แฉล้ม กฤษณามระ)
[๓]
เชษฐบุรุษดอนพระราม นายขัน หุ้มแพร (ตี๋ ภัทร เสวี)
[๔]
เชษฐบุรุษดุสิตเป็นผู้เสนอ นายบำรุงราชบทมาลย์ (เปรื่อง
กัลยาณมิตร)
[๕]
เป็นผู้รับรอง
(๒) นายขัน หุ้มแพร (ตี๋ ภัทรเสวี) เชษฐบุรุษดุสิต
พระยาวรสิทธิ์เสวีวัตร์ (สะอาด ไชยันทน์) เป็น
ผู้เสนอ นายกวด หุ้มแพร (ปาณี ไกรฤกษ์)
[๖]
เป็นผู้รับรอง
ถัดจากนั้นอีกสามวัน คือ วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๔๖๒ ท่านราม ณ กรุงเทพ
จึงได้จัดให้มีการเลือกนคราภิบาลโดยใช้วิธีเลือกคะแนนมืด
โดยการขานนามตามอักขรานุกรมเรียงตัวไป
เมื่อถึงนามผู้ใดผู้นั้นก็หย่อนบัตรลงคะแนน
เมื่อเสร็จการลงคะแนน จึงจัดให้มีการนับคะแนน
ปรากฏผลว่า นายขัน หุ้มแพร ได้ ๑๖๘ คะแนน
นายรองพลพ่าห์ได้ ๒๕ คะแนน ท่านราม ณ กรุงเทพ
ในฐานะผู้อำนวยการเลือกตั้งจึงประกาศให้ นายขัน
หุ้มแพร เป็น นคราภิบาลคนที่สามของดุสิตธานี
 |
หม่อมเจ้าปราณีเนาวบุตร นวรัตน
สมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลดุสิตราชธานี |
แต่ในการเลือกเชษฐบุรุษและทวยนาครคราวต่อมา
หม่อมเจ้าปราณีเนาวบุตร นวรัตน
สมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลดุสิต
ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า
ท่านราม ณ กรุงเทพ
มีภารกิจทั้งในทางราชการและส่วนตัวอยู่มาก
ได้ทูลขอถอนตัวจากการเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้ง
จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เสวกเอก
พระยาราชเสนา (สหัส สิงหเสนี) เจ้ากรมแพนกการเมือง
กระทรวงมหาดไทย
มาเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งเชษฐบุรุษและนคราภิบาลของดุสิตธานีสืบต่อมาตราบจนดุสิตธานีได้ถูกยุบเลิกไปพร้อมกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต
โดยมีนายลิขิตสารสนอง (ชัพน์ บุนนาค)
ได้รับเลือกเป็นนคราภิบาลคนที่ ๕ และเป็นคนสุดท้าย
ทั้งเป็นนคราภิบาลที่มีอายุน้อยที่สุด
 |
คณะกรรมการพรรคแพรแถบสีน้ำเงิน |
(จากซ้าย) |
๑. พระยาไพชยนต์เทพ (ม.ร.ว.ลพ อรุณวงษ์)
|
|
๒. พระยาประสิทธิ์ศุภการ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ
- เจ้าพระยารามราฆพ) |
|
๓. ท่านราม ณ กรุงเทพฯ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
สภานายก (หัวหน้าพรรค) |
|
๔. พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น
พึ่งบุญ) |
|
๕. พระยาสุจริตธำรง (โถ สุจริตกุล
- พระยาอุดมราชภักดี) |
(นั้งพื้น) |
หลวงราชเสวก (สมบุญ จารุตามระ
- พระราชเสวก) สภาเลขานุการ |
|
นอกจากการเลือกตั้งอันเป็นวิถีปฏิบัติสำคัญในระบอบประชาธิปไตยแล้ว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงกำหนดให้ดุสิตธานีมีพรรคการเมือง
๒ พรรค คือ พรรคแพรแถบสีน้ำเงิน
กับพรรคแพรแถบสีแดง
รวมทั้งได้ทรงจัดให้มีวิกฤตการณ์ทางการเมืองขึ้น
ดังที่หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล
ทวยนาครคนหนึ่งของดุสิตธานีได้บันทึกไว้ใน มีอะไรในอดีต
(เมื่อ ๖๐ ปีก่อน) ว่า
๓๐ กันยายน
[๗] |
ที่ดุสิตธานี
มีวิกฤตทางการเมือง
คณะนคราภิบาลจัดประชุมคณะโบว์สีน้ำเงินไม่เข้าร่วมประชุม
แล้วคณะนคราภิบาลลาออกทั้งชุด สมุหเทศาภิ-บาลให้ตำรวจจับ
นคราภิบาล (เพราะไม่ส่งงาน และไม่ส่งเงิน)
ท่านราม ณ กรุงเทพ เข้าแก้สถานการณ์
ให้มีการเลือกตั้งใหม่ทันที
พระยาอนิรุทธเทวาได้เป็นนคราภิบาล,
พระยาสุจริตธำรงเป็นสภาเลขาธิการ ท่านราม
ณ กรุงเทพ เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ฯลฯ
[๘] |
การจัดทดลองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่เมืองจำลองดุสิตธานีนี้คงดำเนินต่อมาตราบจนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต
โดยที่ยังไม่ทันได้พระราชทานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแก่ปวงชนชาวไทยในวาระสมโภชสิริราชสมบัติครบ
๑๕ ปี ดังที่มี พระบรมราชปณิธานมาแต่เดิม
แม้กระนั้นกระทรวงมหาดไทยก็ได้รับสนองพระราชดำริ
โดยนำรูปแบบและวิธีการที่ได้ทรงจัดทดลองไว้ในดุสิตธานีไปปรับใช้กับการปกครองท้องถิ่นที่เรียกกันในเวลาต่อมาว่า
เทศบาล
สมดังกระแสพระราชดำรัสที่พระราชทานไว้ในคราวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดศาลารัฐบาลมณฑลดุสิตธานี
เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๒
ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า
 |
ศาลารัฐบาลมณฑลดุสิตราชธานี |
...วิธีดำเนินการในธานีเล็กๆ ของเราเป็นเช่นไร
ก็ตั้งใจไว้ว่าจะให้ประเทศสยามได้ทำเช่นเดียวกัน
แต่จะให้เป็นการสำเร็จรวดเร็วทันใจดังธานีเล็กนี้
ก็ยังไปทีเดียวยังไม่ได้ โดยมีอุปสรรคบางอย่าง
เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าขอให้ข้าราชการทั้งหลายตลอดจนทวยนาคร
จงตั้งใจกระทำกิจการของตนตามหน้าที่ให้สมกับธานีซึ่งได้จัดตั้งขึ้นนี้
ในไม่ช้าจะได้แลเห็นผลของประเทศสยามว่าจะเจริญไปได้เพียงไร...
[๙] |