ด้านการวางรากฐานระบอบประชาธิปไตย
สืบเนื่องมาจากการที่ได้เสด็จไปประทับทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษเป็นเวลานานถึง
๙ ปี
ประกอบกับการที่ทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระยุพราชซึ่งจะต้องทรงรับรัชทายาทสืบสนองพระองค์สมเด็จพะบรมชนกนาถในกาลข้างหน้า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงศึกษารูปแบบและระบอบการปกครองที่ใช้กันอยู่ในนานาประเทศในเวลานั้นจนถ่องแท้
ด้วยทรงตระหนักในพระราชหฤทัยเป็นอย่างดีว่า การที่
...ต้องรับภาระในการปกครองอยู่คนเดียวเปนภาระหนักกว่าพระเจ้าแผ่นดินที่มีปาร์ลีเมนต์เปนที่ปรึกษานั้นเปนอันมาก,
เพราะถ้าทำอะไรพลาดพลั้งไปใครๆ
ก็ต้องซัดฉันคนเดียวทั้งนั้น,
และฉันจะซัดใครต่อไปอีกก็ไม่ได้เลย....
และภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๓๐
[๑]
ขึ้นแล้ว
ก็ยังได้ทรงพระราชปรารภถึงระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตย
ซึ่งได้ใช้เป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองสืบมาแต่โบราณไว้ใน
จดหมายเหตุรายวัน รัตนโกสินศก ๑๓๐ เล่ม ๒ วันที่
๑๓ มกราคม ถึง วันที่ ๓๑ มีนาคม ว่า
...การที่มอบการปกครองไว้ในมือเจ้าแผ่นดินคนเดียวผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดนั้น
ดูเปนการเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรมอยู่
ถ้าเจ้าแผ่นดินเปนผู้ที่มีสติปัญญาสามารถและมีความตั้งใจมั่นอยู่ว่า
จะทำการให้บังเกิดผลอันดีที่สุดแก่ชาติบ้านเมืองฉนี้แล้วก็จะเปนการดีที่สุด
จะหาลักษณปกครองอย่างใดมาเปรียบปานได้โดยยาก
แต่ถ้าแม้เจ้าแผ่นดินเปนผู้ที่โฉดเขลาเบาปัญญา
ฃาดความสามรถ ฃาดความพยายาม
เพลิดเพลินไปแต่ในความศุขส่วนตัว
ไม่เอาใจใส่ในน่าที่ของตน ฉนี้ก็ดี
ฤาเปนผู้ที่มีน้ำใจพาลสันดานหยาบดุร้ายและไม่ตั้งอยู่ในราชธรรม
เห็นแก่พวกพ้องและบริวารอันสอพลอและประจบ ฉนี้ก็ดี
ประชาชนก็อาจจะได้รับความเดือดร้อน ปราศจากความศุข
ไม่มีโอกาสที่จะเจริญได้
ดังนี้จึงเห็นได้ว่าเปนการเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรม
...ส่วนการมีคอนสติตูชั่นนั้น
เปนอันตัดความไม่แน่นอนไปได้มาก
เพราะอำนาจมิได้อยู่ในมือคนๆ เดียว
ซึ่งถึงแม้ว่าจะดีฤาชั่วปานใดก็เปลี่ยนไม่ได้
ประชาชนได้มีเสียงในการปกครองชาติบ้านเมืองของตนเอง
เสนาบดีผู้รับตำแหน่งน่าที่ปกครองก็รับผิดรับชอบต่อประชาชน
จำเปนต้องทำการให้
เปนไปอย่างดีที่สุดที่จะเปนไปได้
เพราะถ้าแม้ว่าทำการในน่าที่บกพร่อง
ประชาชนไม่เปนที่ไว้วางใจต่อไป
ก็อาจจะร้องขึ้นด้วยกันมากๆ
จนเสนาบดีต้องลาออกจากตำแหน่ง
คนที่ประชาชนไว้วางใจก็จะได้มีโอกาสเข้ารับตำแหน่งน่าที่
ทำการงานให้ดำเนินไปโดยทางอันสมควรและถูกต้องตามประสงค์แห่งประชาชน
เช่นนี้เปนการสมควรอย่างยิ่ง
และถ้าแม้จะกล่าวไปแต่โดยทางว่าเปนแบบแผนดีฤาไม่คงไม่มีใครเถียงเลย
คงต้องยอมรับว่าดีทั้งนั้น แต่แบบอย่างใดๆ
ถึงแม้ว่าจะดีที่สุดเมื่อเขียนอยู่ในกระดาษ
เมื่อใช้จริงเฃ้าแล้วบางทีก็มีที่เสียหายปรากฏขึ้น
ดังปรากฏอยู่แก่ผู้ที่ได้ศึกษาและรู้เหตุการณ์ที่เปนไปในนานาประเทศ
เพราะเหตุหลายประการ...
[๒]
|
 |
จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ
กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ |
นอกจากนั้นในพระราชหัตถเลขาลงวันที่ ๓๐
เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐ ที่ทรงตอบคำกราบบังคมทูล ของ
จอมพล สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
เสนาธิการทหารบกในเรื่องการจัดตั้งรัฐมนตรีสภา
ก็ได้ทรงกล่าวถึงแนวพระราชดำริในการปกครองในรูปแบบรัฐสภาไว้ดังนี้
...ขอตอบเปนข้อๆ
ตามความเห็นดังต่อไปนี้
แลจะพูดตามความจริงไม่อำพราง
ข้อ ๑ ขอให้เข้าใจว่า
ในส่วนตัวฉันไม่มีความตั้งใจที่จะเกี่ยงหรือหวงอำนาจอย่างหนึ่งอย่างใดเลย,
แลฉันเองก็รู้ดียิ่งกว่าใครๆ
ว่าราชการในสมัยนี้มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเปนอันมาก,
แลสมัยที่จะใช้แบบปกครองอย่างที่เคยมาแล้วใกล้จะล่วงเลย
อีกประการ ๑ ฉันขอบอกตามตรงแลได้บอกเธอ
เปนคนแรกด้วยว่า
อาศรัยเหตุที่ฉันได้เคยไปศึกษาในสำนักนิ์อังกฤษ,
ได้เรียนลัทธิปกครองตามแบบอังกฤษ,
แลลัทธิอันนั้นฝังอยู่แน่นในใจ,
จนรู้สึกว่าเปนลัทธิดีที่สุดที่จะใช้ได้สำหรับเมืองราชาธิปตัย,
แลไม่ใช่พึ่งเกิดขึ้นเช่นนี้,
ได้คิดมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ แล้ว
ข้อ ๒ ฉันได้เคยรำพึงมามากแล้ว
ว่าเมื่อไรจะควรจัดให้เมืองไทยมีปาร์ลิเมนต์ขึ้นได้,
ถ้าฉันจะดันเอาตามลัทธิ ( )
[๓]
ไม่เหลียวดูทางการ ( ) ฉันคงจะประกาศ ( )
เสีย ๕ ปีมาแล้ว,
แต่มีปัณหาสำคัญอยู่อย่างหนึ่งซึ่งจะหลับตาเสียไม่คำนึงดูไม่ได้,
คือ คนไทยเราโดยทั่วไป (ไม่จำเภาะคนหมู่ ๑
ซึ่งชอบเล่นกับหนังสือพิมพ์)
พร้อมอยู่หรือยังที่จะใช้อำนาจเลือกผู้แทนของตัวองทำการปกครองตนเอง,
มีความเสียใจที่ยังแลไม่เห็นว่าจะทำการเช่นนั้นสำเหร็จได้,
เพราะแม้แต่เลือกกรรมการศุขาภิบาลประจำตำบลซึ่งเปนคั้นแรกแห่งการเลือกผู้ปกครองตนเองก็ยังทำไปไม่ได้จริงจัง,
เจ้าน่าที่ฝ่ายเทศาภิบาลต้องคอยเซี่ยมสอนอยู่ทุกแห่งไป,
การเลือกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
ซึ่งต่ำลงไปกว่านั้นแลทำได้ง่ายกว่านั้น,
ก็ยังทำกันเหมือนเล่นละครตลก...
[๔]
|
 |
พระยากัลยาณไมตรี (เจนส์ ไอเวอร์สัน เวสเตนการ์ด) |
ส่วนการที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ
กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
กราบบังคมทูลเสนอแนะให้ทรงตั้งรัฐมนตรีสภาเพื่อทำหน้าที่ตรวจพิจารณาและกลั่นกรองร่างกฎหมายในทำนองเดียวกับสภาผู้แทน
ราษฎรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ นั้น
ก็ทรงมีแนวพระราชดำริไปในทางเดียวกับกับความเห็นของพระยากัลยาณไมตรี
(Janes Iverson Westengard)
ที่ปรึกษาราชการราชการทั่วไป
ดังที่ทรงกล่าวไว้ในพระราชหัตถเลขาตอบคำกราบบังคมทูลนั้นว่า
...ถ้ายังจะมีปาร์ลิเมนต์ไม่ได้แล้ว,
ก็ไม่ควรจะมีอะไรที่เปนของเลียน ( )
ขึ้นไว้สำหรับตบตา,
เพราะคนที่เขารู้จริงว่าปาร์ลิเมนต์เปนอย่างไร,
เขาก็ไม่เชื่อว่าของนั้นจะแทนปาร์ลิเมนต์ได้,
และผู้ที่ไม่เข้าใจเสียเลยถึงวิธีปกครองอย่างคอนสติตูชั่นก็คงไม่เข้าใจเช่นนั้น,
ว่าประโยชน์ของรัฐมนตรีนั้นอะไร...
[๕]
จากแนวพระราชดำริที่ปรากฏในพระราชบันทึกและพระราชหัตถเลขาดังกล่าว
แสดงให้เห็นชัดเจนว่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชดำริที่จะจัดให้มีคอนสติตูชั่นหรือรัฐธรรมนูญ
และปาร์ลิเมนต์หรือรัฐสภาขึ้นในสยามประเทศมาตั้งแต่ประทับทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ
แต่ในขณะเดียวกันก็มีพระราชดำริว่า
...I did not say that,
what applies to England will equally apply to
Siam. On the contrary it would be a very grave
mistake to adopt English methods in tots without
alteration,... [๖]
จึงได้ทรงศึกษารูปแบบและลัทธิการปกครองของประเทศต่างๆ
จนถ่องแท้
แล้วได้ทรงจัดให้มีการเล่นการปกครองในรูปแบบต่างๆ
ในทำนอง Play Way
[๗]
มาแต่ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เพื่อทรงพระราชวิจารณ์ถึงข้อดีและข้อบกพร่องของระบอบการปกครองต่างๆ
อันจะเป็นทางให้ทรงนำไปสู่การปฏิบัติจริงในเวลาที่เหมาะสม
ครั้นเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติแล้ว
การเล่นเพื่อทดลองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ได้ทรงดำเนินมาเป็นระยะๆ
นั้น ก็ต้องหยุดลงชั่วระยะเวลาหนึ่ง
เนื่องมาจากต้องทรงทุ่มเทเวลาไปในการทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอื่นๆ
ตราบจนได้ทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า
พสกนิกรชาวสยามในเวลานั้นยังขาดวามรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิและหน้าที่
อันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
จึงได้มีพระราชดำรัสสั่งให้กระทรวงศึกษาธิการประกาศใช้
พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. ๒๔๖๔
ในทุกหัวเมืองมณฑลทั่วพระราชอาณาจักร
ด้วยมีพระราชปรารภว่า
...เรามีความปรารถนาจะให้ประชาราษฎรของเราได้มีความรู้ถึงคั่นประถมศึกษาโดยทั่วถึงภายใน
๑๕ ปี นับแต่เราได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ
เพราะความตั้งใจของเรามีอยู่ว่า
เมื่อเราครองราชย์ครบ ๑๕ ปี
เราจะมอบสิทธิ์ปกครองบ้านเมือง
ให้ประชาชนของเรามีส่วนมีเสียง
แต่ถ้าเขายังไม่มีความรู้พอแก่การดำเนินการได้
ให้ไปก็เสื่อมประโยชน์ได้ไม่เท่าเสีย...
[๘]
พร้อมกันนั้นก็ได้ทรงเริ่มจัดทดลองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยทรงเน้นหนักไปที่การปกครองท้องถิ่นซึ่งเป็นฐานรากของการปกครองในระดับชาติ
เริ่มจากเมื่อครั้งแปรพระราชฐานไปประทับรักษาพระองค์ที่ค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญ
จังหวัดเพชรบุรี
ตามคำแนะนำของนายแพทย์ประจำพระองค์ในปี พ.ศ. ๒๔๖๑
ซึ่งได้ทรงใช้เวลาว่างนั้นจัดให้คุณมหาดเล็กที่ตามเสด็จไปในคราวนั้นเป็น
กุลีหลวง ช่วยกันสร้าง เมืองทราย
ขึ้นที่ชายหาดเจ้าสำราญ
ทรงสอนให้กุลีหลวงเหล่านั้นสร้างน้ำตกที่เมืองทราย
และทรงสอนวิธีลำเลียงน้ำลอดลำคลองที่เรียกว่า ไซฟ่อน
(Siphon)
รวมถึงการสูบน้ำดับเพลิงและเพื่อการทำเหมืองแร่
และก่อนจะเสด็จพระราชดำเนินกลับยังได้ทรงแนะนำให้กุลีหลวงทำ
ท่อล้าง สิ่งโสโครก สำหรับเมืองทรายอีกด้วย
 |
แผนผังเมืองจำลองดุสิตธานีที่พระราชวังดุสิต |
ในขณะเดียวกันก็ได้ทรงติดตามข่าวจากทวีปยุโรปโดยตลอด
จนทรงตระหนักแน่ในพระราชหฤทัยแล้วว่า
ฝ่ายสัมพันธมิตรจะมีชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ ๑
แล้ว
ก็ทรงเริ่มเตรียมการที่จะปลดเปลื้องภาระผูกพันตามสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับนานาประเทศ
เริ่มจากโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองจำลอง ดุสิตธานี
ขึ้นในพื้นที่ราว ๒ ไร่ครึ่ง
โดยรอบพระที่นั่งอุดรภาค
ภายในพระราชวังดุสิตเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๔๖๑ ก่อนที่จะโปรดเกล้าฯ
ให้ย้ายไปสร้างขึ้นใหม่ในพื้นที่ว่างกว่า ๔ ไร่
ที่ด้านหลังพระตำหนักพญาไท
[๙]
เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๒
 |
ดุสิตธานีที่พระราชวังพญาไท (ในกรอบสีแดง) |