ด้านกฎหมายและการศาล
 |
ศาลสนามสถิตยุติธรรมที่ริมท้องสนามหลวง |
สืบเนื่องจากทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้เสด็จไปทรงระงับความวุ่นวายในกระทรวงยุติธรรม
อันเนื่องมาจากคดีพญาระกาในตอนปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และได้ทรงเป็นผู้กำกับราชการในกระทรวงนั้นสืบเนื่องมาจนเสด็จเสวยสิริราชสมบัติ
แต่ราชการในกระทรวงยุติธรรมก็ยังหาได้สงบเรียบร้อยลงโดยบริบูรณ์ไม่
เพราะนายเทียม ไกรสีห์ [๑]
ซึ่งต้องพระราชอาญาถอดออกจากราชการเมื่อครั้งคดีพญาระกายังคงก่อเหตุยุ่งยากต่างๆ
อยู่เสมอ
...กล่าวกันว่าถ้าแม้ลูกความใดหานายเทียมไปเปนทนายความตามหัวเมือง
เขาก็มักจะไปพักอยู่ที่บ้านผู้พิพากษา
และผู้พิพากษาหนุ่มๆ
โดยมากก็เปนศิษย์ของนายเทียม
ฉนั้นจึ่งเปนหนทางให้ใครๆ
พูดได้ว่าผู้พิพากษามักลำเอียงข้างครู,
ทำให้ผู้ที่มีคดีในศาลพากันติดใจในความยุติธรรมยุติธรรมของผู้พิพากษา
แม้ผู้พิพากษาในกรุงเทพก็ตกอยู่ในความถูกระแวงเช่นนั้นเหมือนกัน,
เพราะประการ ๑
ผู้พิพากษาโดยมากก็เปนมิตร์สหายของนายเทียม,
และอีกประการ ๑
นายเทียมไปมาหาสู่อยู่กับกรมราชบุรีเสมอ
ฝ่ายผู้พิพากษาโดยมากก็ยังคงฝักใฝ่ไปมาอยู่ที่กรมราชบุรี,
และมักนำเอาปัญหาทางกฎหมายไปปรึกษาหาฤาอยู่เนืองๆ
ส่วนข้อที่ว่าข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมไม่พอใจในส่วนตัวเสนาบดีคนใหม่นั้น,
...เขากล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจรูญ
[๒]
นั้นทำงานด้วยยาก,
เพราะไม่ชอบคบกับใครเสียเลยและพูดดีกับใครก็ไม่เปน,
มีแต่ดุและติโทษอยู่เสมอๆ...
[๓]
|
จากเหตุขัดแย้งในกระทรวงยุติธรรมดังกล่าว
นอกจากจะเป็นชนวนให้บรรดาผู้พิพากษา
...ชวนกันใช้วิธีขัดขืนโดยนิ่งเสีย
คืองานการอันใดไม่สั่งไม่สะกิดก็ไม่ทำ,
และพระองค์จรูญนั้นสกิดใครเบาๆ ก็ไม่เปน,
ได้แต่สะกิดแรงๆ
กล่าวคือแกไม่ยอมใช้วิธีพูดโน้มน้าวด้วยไมตรีเสียเลย,
มีแต่จะพูดออกอำนาจอยู่เสมอ,
จึงทำให้คนที่ดื้อกลับถือทิฐิมานะดื้อต่อ...
[๔]
อันเป็นผลให้มีคดีความคั่งค้างอยู่ในศาลเป็นจำนวนมาก
ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดระเบียบราชการกระทรวงยุติธรรมให้
...ลงเปนระเบียบเดียวกับประเทศอื่นๆ...
[๕]
โดยโปรดเกล้าฯ
ให้ออกประกาศพระบรมราชโองการจัดระเบียบราชการกระทรวงยุติธรรมเมื่อวันที่
๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕ ซึ่งมีความตอนหนึ่ง ว่า
...กระทรวงยุติธรรมในเวลานี้มีเสนาบดีผู้เดียวเปนผู้บังคับบัญชา
แลวินิจฉัยข้อราชการทั้งฝ่ายธุรการแลฝ่ายตุลาการรวมกัน
ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า
การที่คนผู้เดียวจะดำริห์แลบังคับบัญชาราชการทั้งสองประเภทนั้น
ให้ตลอดไปได้โดยเรียบร้อยย่อมเปนการยาก
สมควรจะแยกน่าที่ให้มีฝ่ายธุรการส่วนหนึ่ง
แลฝ่ายตุลาการส่วนหนึ่ง
ราชการในกระทรวงยุติธรรมจะได้เจริญยิ่งขึ้นกว่าที่เปนมาแล้ว
อนึ่ง ศาลฎีกาซึ่งนับว่าเปนศาลสูงสุด
ในพระราชอาณาจักรสยามก็ยังไม่มีอธิบดี
แลยังมิได้รวมอยู่ในกระทรวงใด
นับว่าต้องเปนพระราชธุระพิเศษอยู่ส่วน ๑
จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้ยกศาลฎีกาไปรวมอยู่ในกระทรวงยุติธรรม
ตั้งแต่เมษายน รัตนโกสินทร ศก ๑๓๑ เปนต้นไป
แลจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ตั้งอธิบดีศาลฎีกาในเวลาต่อไป
เพื่อเปนผู้ใหญ่เปนประธานในพแนกตุลาการ
ส่วนน่าที่ราชการนั้น
ให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมมีอำนาจแลน่าที่ได้บังคับบัญชาราชการแลรับผิดชอบทั่วไป
แลบรรดาราชการอันนับว่าเปนส่วนธุรการในกระทรวงนี้
เปนน่าที่เสนาบดีบังคับบัญชาได้สิทธิ์ขาดโดยลำพัง
แต่ในส่วนที่เปนฝ่ายตุลาการนั้น
ให้เสนาบดีปฤกษาหาฤาแลฟังความเห็นของอธิบดีศาลฎีกา
แล้วแลวินิจฉัยบังคับบัญชาไปตามที่ตกลงกัน
ฤาถ้ามีความเห็นแตกต่างกันก็ให้เสนาบดีพร้อมด้วยอธิบดีศาลฎีกานำความกราบบังคมทูลเรียนพระราชปฏิบัติ
ให้อธิบดีศาลฎีกามีน่าที่ดำริห์วางระเบียบราชการพแนกตุลาการแลนำความเห็นเสนอเสนาบดี
ตลอดถึงการตั้งแลผลัดเปลี่ยนฤาเลื่อนตำแหน่งผู้พิพากษา
ส่วนแก้ข้อขัดข้องปัณหาที่เกี่ยวด้วยกฎหมายนั้น
เปนน่าที่อธิบดีศาลฎีกาเปนผู้วินิจฉัย
แค่ถ้ามีข้อใดซึ่งจำจะต้องเรียนพระราชปฏิบัติ
ให้อธิบดีศาลฎีกานำข้อความนั้นขึ้นกราบบังคมทูลเรียนพระราชปฏิบัติโดยตรงได้
ข้อปัณหาในทางราชการที่เกี่ยวกับนานาประเทศนั้น
ให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม
ปฤกษาหาฤาเสนาบดีกระทรวงว่าการต่างประเทศแล้วจึงวินิจฉัย...
[๖]
|
 |
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิ์วัตนวิศิษฏ์ |
เมื่อทรงจัดระเบียบราชการกระทรวงยุติธรรมพร้อมกับโปรดเกล้าฯ
ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสวัสดิ์วัตนวิศิษฏ์
ทรงเป็นอธิบดีศาลฎีกาพระองค์แรกเมื่อวันที่ ๑๑
เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕ และโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร
ออกไปเป็นอรรคราชทูตพิเศษ ณ กรุงปารีส
แล้วทรงย้ายพระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง
[๗]
จากปลัดทูลฉลองกระทรวงนครบาลมาเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม
เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๕ แล้ว
...ราชการในกระทรวงนั้นดำเนินไปโดยอาการอันเรียบร้อย
และคดีที่คั่งค้างในศาลหลวงต่างๆ
ก็ได้จัดการเร่งรัดให้ผู้พิพากษาจัดการพิจารณาให้แล้วเสร็จไปโดยรวดเร็ว...
[๘]
แม้กระนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ยังได้ทรงรับพระราชธุระสอดส่องตรวจตราราชการในกระทรวงยุติธรรมให้ดำเนินไปตามพระบรมราโชบายที่จะให้ผู้พิพากษามีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีทั้งปวงเป็นสิทธิ์ขาดปลอดจากการแทรกแซงของฝ่ายบริหาร
[๙]
อันเป็นหลักประกันความความยุติธรรมแก่พสกนิกรของพระองค์แล้ว
ต่อมาในวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๗
ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติทนายความ
เพื่อคุ้มครองโจทก์และจำเลยผู้มีอรรถคดีในศาลยุติธรรมให้ปลอดพ้นจากบรรดาเจ้าถ้อยหมอความที่แอบแฝงหากินอยู่ในโรงศาล
และถัดมาวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ก็ได้โปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งเนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์
เพื่อบำรุงวิชากฎหมายและสอดส่องควบคุมความประพฤติของทนายความ
ต่อจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๖๖ ยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งกรมร่างกฎหมายเพื่อยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
รวมตลอดทั้งการพิจารณายกร่างกฎหมายต่างๆ
 |
โรงเรียนกฎหมายที่เชิงสะพานพิภพลีลา
ต่อมาเป็นที่ทำการกรมโฆษราการ (กรมประชาสัมพันธ์) |
ในส่วนการศึกษาวิชากฎหมายนั้น
นอกจากจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ยกโรงเรียนกฎหมายที่พระเจ้าพี่ยาเธอ
กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ทรงตั้งขึ้นแต่ครั้งยังทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จัดเป็นโรงเรียนเชลยศักดิ์
...สั่งสอนนักเรียนโดยวิธีจารีตธรรม
[๑๐]
...ตั้งกรรมการปกครองเองแลตั้งข้อสอบไล่เองตามหลักสูตร
แลออกประกาศนนียบัตร์แก่นักเรียนที่สอบไล่ได้ว่ามีภูมิรู้เปนเนติบัณฑิตฯ
แลเนติบัณฑิตเหล่านั้นจะฟังว่าได้สอบไล่ในสนามเหมือนเปรียญฝ่ายปริยัติธรรมก็ยังมิได้
เพราะทางราชการมิได้รับรองอย่างใด...
[๑๑]
ให้เป็นโรงเรียนหลวงสังกัดกระทรวงยุติธรรม
อันเป็นการรับรองหลักสูตรการศึกษาวิชากฎหมายตามแบบอย่างนานาอารยประเทศ
เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๔ แล้ว
ถึงคราวที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งเนติบัณฑิตยสภา
ในพระบรมราชูปถัมภ์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๗
ก็ได้โปรดเกล้าฯ
 |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงฉลองพระองค์พลเรือน
ทรงฉลองพระองค์ครุยเนติบัณฑิต |
พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดสร้างเสื้อครุยเนติบัณฑิตพระราชทานให้แก่ผู้ที่สอบไล่วิชากฎหมายได้เป็นเนติบัณฑิตสยามสืบต่อมาทุกปีตราบจนสิ้นรัชกาล
จึงเป็นอันพ้นสมัยการพระราชทานเสื้อครุยแก่ผู้สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตสยาม
แต่สมาชิกของเนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์
ยังคงใช้เสื้อครุยแบบที่ทรงพระราชดำริไว้เป็นเครื่องหมายของสมาชิกสภาสืบต่อมา
ตราบจนได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเสื้อครุยเนติบัณฑิต
พ.ศ. ๒๔๗๙
จึงได้เปลี่ยนไปใช้เสื้อครุยดำดังที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
 |
เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์)
เมื่อครั้งเป็นมหาเสวกโท สมุหพระนิติศาสตร์
สวมครุยเนติบัณฑิต |
เสื้อครุยเนติบัณฑิตที่ทรงพระราชดำริไว้เมื่อ พ.ศ.
๒๔๕๗ นั้น
มีลักษณะเป็นเสื้อครุยพื้นผ้าโปร่งสีขาวแบบเสื้อครุยไทย
มีสำรดพื้นขาวติดแถบทองที่ขอบรอบและที่ต้นแขนปลายแขน
และต่อมาอภิรัฐมนตรีสภาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก็ได้ใช้แบบเสื้อครุยเนติบัณฑิตที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริไว้นั้นเป็นต้นแบบในการกำหนดรูปลักษณะเสื้อครุยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ซึ่งได้ใช้สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
อนึ่ง
เมื่อการชำระสะสางรวบรวมพระราชกำหนดกฎหมายเก่าใหม่ขึ้นเป็นประมวลกฎหมาย
จนได้ประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพที่
๑ และ ๒ แล้ว และโดยที่
...ประมวลกฎหมายทั้งนี้เปนของใหม่ที่เริ่มทำขึ้นโดยอาศัยหลักปรัตยุบันนิติศาสตร์ยากที่จะศึกษาเทียบเคียงเพื่อหยั่งรู้ความประสงค์ได้ตลอด...
[๑๒]
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดตั้งสภานิติศึกษาขึ้นเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม
พ.ศ. ๒๔๖๗
ให้มีหน้าที่จัดระเบียบกับวางหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียนกฎหมายในกระทรวงยุติธรรม
ทั้งกิจการอื่นอันเกี่ยวแก่โรงเรียนนี้ด้วย