ด้านการปกครอง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
นอกจากจะทรงดำเนินพระบรมราชวิเทโศบายในการปกครองประเทศ
โดยจัดการปกครองหัวเมืองเป็นมณฑล จังหวัด อำเภอ
ตำบล
และหมู่บ้านตามแบบแผนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงริเริ่มไว้แล้ว
แต่เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ
เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
ซึ่งได้ทรงบังคับบัญชาราชการในกระทรวงมหาดไทยโดยสิทธิ์ขาดมาแต่เริ่มตั้งกระทรวงมหาดไทยในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้กราบถวายบังคมลาพักราชการเพื่อรักษาพระองค์
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ตั้งให้เป็นเสนาบดีที่ปรึกษามาตั้งแต่วันที่ ๖
สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ แล้ว
ก็ได้มีพระราชดำริให้จัดการปกครองหัวเมืองมณฑลต่างๆ
เสียใหม่ ด้วยมีพระราชดำริว่า
นับแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯ
ให้จัดรูปการการปกครองหัวเมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาลแล้ว
บรรดาราชการของกระทรวงต่างๆ ในหัวเมืองมณฑลนั้นๆ
ต่างก็ไปรวมอยู่ในบังคับบัญชาของสมุหเทศาภิบาลซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาราชการฝ่ายปกครองในหัวเมืองมณฑล
จึงทำหี่ชการทั้งหลายทั้งปวงในหัวเมืองมณฑลทั่วราชอาณาจักรไปรวมอยู่ในการปกครองของกระทรวง
มหาดไทย แต่ในส่วนพระองค์นั้นทรงเห็นว่า
ราชการกระทรวงต่างๆ
ทั้งในกรุงและหัวเมืองล้วนขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้ายู่หัว
ซึ่งทรงเป็นหัวหน้ารัฐบาลโดยตรง ต่อมาวันที่ ๖
กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงได้โปรดเกล้าฯ
ให้รวมหัวเมืองมณฑลที่ใกล้เคียงกันจัดเป็นภาค
มีอุปราชภาคเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และโปรดเกล้าฯ ให้แยกหัวเมืองในมณฑลพายัพออกเป็น ๒
มณฑล คือ มณฑลพายัพ มีเขตปกครองคือ
จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน และเชียงราย
กับมณฑลมหาราษฎร์ มีเขตปกครองคือ จังหวัดแพร่
ลำปาง และน่าน
แล้วโปรดให้รวมมณฑลพายัพและมณฑลมหาราษฎร์เป็น
มณฑลภาคพายัพ
 |
เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร)
อุปราชมณฑลภาคพายัพคนแรก |
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ มหาอำมาตย์โท
เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐ์ศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร)
สมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลพายัพ
เป็นอุปราชมณฑลภาคพายัพ
ให้มีเกียรติยศและตำแหน่งราชการสูงกว่าสมุหเทศาภิบาลในมณฑลภาคพายัพ
ทั้งยังให้ ...มีหน้าที่บังคับบัญชาตรวจตราแนะนำราชการในส่วนธุระการให้เปนไปตามกระแสพระบรมราชโองการ
และพระราชกำหนดกฎหมาย
ทั้งดำริห์การทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรภาคนั้น
ให้เจริญดีขึ้นโดยใช้กุศโลบายอันเหมาะแก่ท้องที่และต้องด้วยพระบรมราโชบาย...
[๑]
 |
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้ากรมขุนลพบุรีราเมศวร์
(สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์)
อุปราชมณฑลปักษ์ใต้และสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลนครศรีธรรมราช |
ต่อจากนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้รวมมณฑลนครไชยศรี
และมณฑลราชบุรี จัดเป็น มณฑลภาคตะวันตก
รวมมณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลสุราษฎร์ และมณฑลปัตตานี
จัดเป็น มณฑลปักษ์ใต้ และรวมมณฑลอุดร
มณฑลร้อยเอ็จ และมณฑลอุบล เป็น ภาคอีสาณ
ตามลำดับ
กับได้ทรงตั้งสมุหเทศาภิบาลผู้มีเกียรติยศสูงสุดในแต่ละภาคเป็นอุปราชประจำภาคนั้นๆ
ด้วย
ส่วนมณฑลกรุงเก่า (มณฑลอยุธยา)
นั้น ทรงพระราชดำริว่า
...กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา
เปนพระมหานครราชธานีโบราณ
นับว่าเปนมงคลสถานสำคัญแห่งหนึ่ง
อีกประการหนึ่งได้ขยายเขตรมณฑลนี้กว้างขวางขึ้น
มีประชาชนในเขตรความปกครองของมณฑลนี้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน...
[๒]
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนฐานันดร
มหาเสวกโท พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์)
สมุหเทศาภิบาลขึ้นเป็นอุปราชมณฑลกรุงเก่ามาตั้งแต่
วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๙
 |
ภาพล้อฝีพระหัตถ์ เจ้าคุณกรุง
หรือ มหาเสวกโท พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร
เดชะคุปต์)
อุปราชมณฑลกรุงเก่า (อยุธยา) |
อนึ่ง ในการรวมหัวเมืองมณฑลเข้าเป็นภาคนั้น
นอกจากจะโปรดเกล้าฯ
ให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งอุปราชและสมุหเทศาภิบาล ซึ่ง...เปนผู้ที่ทรงเลือกสรรแต่งตั้งออกไปรับราชการฉลองพระเดชพระคุณต่างพระเนตรพระกรรณ...
[๓]
ที่แต่เดิมเคยได้รับพระราชทานยศชั้นมหาอำมาตย์เป็นข้าราชการสังกัดกระทรวง
มหาดไทย ให้เปลี่ยนมาเป็นข้าราชการในพระราชสำนัก
...ที่ขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน...
[๔]
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้อุปราชและสมุหเทศาภิบาลเปลี่ยนมาใช้ยศและเครื่องแต่งตัวอย่างข้าราชการในพระราช
สำนักชั้นมหาเสวก ส่วนผู้ที่ออกไปจากกรมมหาดเล็ก
ก็โปรดให้ใช้ยศและเครื่องแต่งตัวฝ่ายมหาดเล็กชั้นจางวาง
แต่อุปราชและสมหเทศาภิบาลที่เป็นผู้ที่มียศทหารชั้นสูงอยู่แล้ว
คงให้ใช้ยศและเครื่องแต่งกายอย่างทหารตามเดิมแล้ว
ยังได้โปรดเกล้าฯ
ให้ออกประกาศกำหนดอำนาจและหน้าที่ของอุปราชไว้เมื่อวันที่
๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
(๑)
อุปราชเปนข้าราชการผู้ใหญ่ต่างพระองค์
รับราชการต่างพระเนตร์พระกรรณประจำอยู่หัวเมือง
มีอำนาจเหนือข้าราชการฝ่ายพลเรือนทุกตำแหน่งบรรดาประจำรับราชการอยู่ในภาคหนึ่งแห่งพระราชอาณาจักร์
แลมีน่าที่บังคับบัญชาตรวจตราแนะนำราชการในส่วนธุระการให้เปนไปตามกระแสพระบรมราชโองการ
แลพระราชกำหนดกฎหมาย
ทั้งดำริห์การทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรภาคนั้น
ให้เจริญดีขึ้นโดยใช้กุศโลบายอันเหมาะแก่ท้องที่และต้องด้วยพระบรมราโชบาย
(๒)
อุปราชจะตั้งที่ทำราชการอยู่มณฑลหนึ่งมณฑลใดในภาคใดนั้นก็ได้
แลให้มีข้าราชการประจำทำราชการกับอุปราชตามสมควรแก่ราชการ
(๓) การที่จะบังคับบัญชาราชการ
แลมีใบบอกรายงานหรือหารือข้อราชการมายังเสนาบดีเจ้ากระทรวงในกรุงเทพฯ
นั้น
ถ้าราชการสิ่งใดที่มีกฎแลข้อบังคับวางไว้ชัดเจนเปนระเบียบแล้ว
ราชการมณฑลใดให้สมุหเทศาภิบาลมณฑลนั้น
คงบังคับบัญชาแลมีใบบอกตรงมายังเสนาบดีเจ้ากระทรวงในกรุงเทพฯ
ได้ตามเดิม
แต่ถ้าเปนราชการสำคัญหรือราชการที่ยังไม่ได้มีกฎหรือข้อบังคับวางไว้เปนระเบียบแล้วอย่าง
๑
การขอแต่งตั้งถอดถอนย้ายข้าราชการชั้นตั้งแต่นายอำเภอขึ้นไปอย่าง
๑
การเสนอความดีความชอบผู้สมควรจะได้รับพระราชทานยศบรรดาศักดิ์
แลเครื่องราชอิศริยาภรณ์อย่าง ๑
การทำงบประมาณรายรับรายจ่ายเงินประจำปีของมณฑลอย่าง
๑
สมุหเทศาภิบาลต้องได้รับอนุมัติของอุปราชก่อนแล้ว
จึงจะมีใบบอกเสนอมายังเสนาบดีเจ้ากระทรวงในกรุงเทพฯ
ได้
[๕] |
ในการทรงจัดระเบียบราชการกระทรวงมหาดไทยครั้งนี้
นอกจากจะโปรดเกล้าฯ
ให้อุปราชเป็นผู้แทนพระองค์ทำหน้าที่กลั่นกรองราชการต่างพระเนตรพระกรรณแล้ว
ยังเป็นการกระจายอำนาจให้อุปราชพิจารณาวินิจฉัยสั่งราชการบางเรื่องให้แล้วเสร็จเด็ดขาดลงที่ภาคหรือมณฑล
โดยไม่ต้องส่งเรื่องนั้นเข้ามาที่กระทรวงมหาดไทยเช่นที่เคยมา
ทำให้ราชการต่างๆ
สามารถดำเนินไปได้โดยรวดเร็วและลดทอนงานที่จะต้องส่งไปยังกระทรวงมหาดไทยลงไปด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ โปรดเกล้าฯ
ให้จัดปันราชการในกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงอื่นๆ
รวมทั้งได้โปรดเกล้าฯ
ให้ยกกระทรวงนครบาลซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบจัดการปกครองเฉพาะมณฑลกรุงเทพฯ
รวมเข้ากับกระทรวงมหาดไทย
นับแต่นั้นมากระทรวงมหาดไทยจึงได้รับผิดชอบการปกครองท้องที่ทั่วทั้งพระราชอาณาจักรมาจนถึงปัจจุบัน
ในส่วนการปกครองหัวเมืองมณฑลปัตตานี อันประกอบด้วย
เมืองปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง ยะลา ราห์มัน
สายบุรี และระแงะ
ซึ่งราษฎรส่วนใหญ่มีความเกี่ยวพันกันทั้งทางเชื้อชาติและศาสนากับราษฎรในสี่รัฐมลายูของอังกฤษ
คือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปลิสนั้น
ก็ได้โปรดเกล้าฯ
พระราชทานหลักรัฏฐาภิปาลโนบายสำหรับการปกครองหัวเมืองมณฑลนี้ไว้เป็นพิเศษ
รวม ๖ ข้อ ดังนี้
ข้อ ๑.
ระเบียบการหรือวิธีปฏิบัติการอย่างใดเป็นทางให้พลเมืองรู้สึกเห็นไปว่า
เป็นการเบียดเบียน กดขี่ศาสนาอิสลาม
ต้องยกเลิกหรือแก้ไขเสียทันที
การใดจะจัดขึ้นใหม่ต้องอย่าให้ขัดกับลัทธินิยมของอิสลามหรือยิ่งทำให้เห็นเป็นการอุดหนุนศาสนามะหะหมัดได้ยิ่งดี
ข้อ ๒. การกะเกณฑ์อย่างใดๆ ก็ดี
การเก็บภาษีอากรหรืออย่างใดๆ ก็ดี
เมื่อพิจารณาโดยส่วนรวมเทียบกันต้องอย่าให้ยิ่งกว่าที่พลเมืองในแว่นแคว้นของต่างประเทศ
ซึ่งคงอยู่ใกล้เคียงติดต่อกันนั้นต้องเกณฑ์ต้องเสียอยู่เป็นธรรมดา
เมื่อพิจารณาเทียบกันแต่เฉพาะอย่างต้องอย่าให้ยิ่งหย่อนกว่ากันจนถึงเป็นเหตุเสียหายในทางปกครองได้
ข้อ ๓. การกดขี่บีบคั้นแต่เจ้าพนักงานของรัฐบาล
เนื่องแต่การใช้อำนาจในทางที่ผิดมิเป็นธรรมก็ดี
เนื่องแต่การหมิ่นลู่ดูแคลนพลเมืองชาติแขกโดยฐานที่เป็นคนถ่วงชาติก็ดี
เนื่องแต่การหน่วงเหนี่ยวชักช้าในกิจการตามหน้าที่เป็นเหตุ
ให้ราษฎรเสียความสะดวกในทางหาเลี้ยงชีพก็ดี
พึงต้องแก้ไขและระมัดระวังมิให้มีขึ้น
เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องให้ผู้ทำผิดรองรับผลตามความผิดโดยยุติธรรม
ไม่ใช่สักแต่ว่าจัดการกลบเกลื่อนให้เงียบไปเสีย
เพื่อจะไว้หน้าสงวนศักดิ์ของข้าราชการ
ข้อ ๔.
กิจการใดทั้งหมดอันเจ้าพนักงานจะต้องบังคับแก่ราษฎร
ต้องระวังอย่าให้ราษฎรขัดข้องเสียเวลา
เสียการในทางหาเลี้ยงชีพของเขาเกินสมควร
แม้จะเป็นการจำเป็นโดยระเบียบการก็ดี
เจ้าหน้าที่พึงสอดส่องแก้ไขเสมอเท่าที่สุดจะทำได้
ข้อ ๕.
ข้าราชการที่จะแต่งตั้งออกไปประจำตำแหน่งในมณฑลปัตตานี
พึงเลือกเฟ้นแต่คนที่มีนิสัยซื่อสัตย์ สุจริต
สงบเสงี่ยมเยือกเย็น
ไม่ใช่สักแต่ว่าส่งไปบรรจุให้เต็มตำแหน่ง
หรือส่งไปทางลงโทษเพราะเลว
ข้อ ๖.
เจ้ากระทรวงทั้งหลายจะจัดการวางระเบียบการอย่างใดในมณฑลปัตตานี
อันจะเป็นการพากพานถึงสุขทุกข์ราษฎร
ก็ควรพิจารณาหาเหตุผลแก้ไขหรือยับยั้ง
ถ้าไม่เห็นด้วยว่ามีมูลขัดข้อง
ก็ควรหารือกับกระทรวงมหาดไทย
แม้ยังไม่ตกลงกันได้ระหว่างกระทรวง
ก็พึงนำความกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท
ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย
[๖] |