ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่
๒ นอกจากพระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ อิศรเสนา)
ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยในสมัยนั้นจะได้ฟื้นฟูการเล่าเรียนและการดนตรีของนักเรียนแล้ว
การกีฬาก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอบรมบ่มเพาะนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
ในยุคนี้ได้มีการจัดแบ่งนักเรียนคณะโตทั้ง ๔ คณะเป็น ๓
รุ่น คือ
รุ่นเล็ก |
ความสูงไม่เกิน ๑๕๕ เซนติเมตร |
รุ่นกลาง |
ความสูงไม่เกิน ๑๖๕ เซนติเมตร |
รุ่นใหญ่ |
ไม่จำกัดความสูง |
การวัดส่วนสูงเพื่อจำแนกรุ่นนี้กระทำกันปีละครั้ง
ทุกวันอาทิตย์แรกของภาควิสาขะภายหลังจากนักเรียนสวดมนต์ทำวัตรเช้าบนหอประชุมเสร็จแล้ว
และคงใช้ความสูงที่วัดได้ในตอนต้นปีนี้ไปจนจบปีการศึกษานั้นๆ
กีฬาที่จัดให้นักเรียนเล่นกันนั้นมีทั้งกีฬาประเภททีม เช่น
รักบี้ฟุตบอล บาสเกตบอล แอสโซซิเอชั่นฟุตบอล
และประเภทบุคคล เช่น ลอนเทนนิส สควอช และแบดมินตัน
การเล่นกีฬาประเภทต่างๆ
กำหนดให้เล่นและแข่งขันกันตลอดทั้งปีตามความเหมาะสมของสภาพอากาศ
เช่น รักบี้ฟุตบอล ในภาควิสาขะ บาสเกตบอล ว่ายน้ำ
ในภาคปวารณา และแอสโซซิเอชั่นฟุตบอลในภาคมาฆะ
กีฬาแต่ละชนิดมีการจับสลากแข่งขันระหว่างคณะ
แล้วจึงให้คณะที่ชนะในรอบแรกไปชิงชนะเลิศกันในรอบถัดไป
 |
ท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา มาลากุล |
ก่อนการแข่งขันกีฬาทุกชนิดจะเริ่มขึ้น
นักกีฬาและกองเชียร์จะเดินร้องเพลงเชียร์จากคณะของตนไปยังสนามแข่งขัน
เมื่อท่านผู้บังคับการหรือผู้กำกับคณะที่เป็นประธานการแข่งขันเดินทางมาถึง
นักกีฬาและกองเชียร์ของทั้งสองทีมจะเดินลงสู่สนามโดยร้องเพลง
จรรยานักกีฬา บทประพันธ์ของท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา มาลากุล
ไปพร้อมกัน
เพลงนี้ร้องกันไปได้ราวครึ่งเพลงแถวนักกีฬาและกองเชียร์ก็จะเดินกันไปถึงขอบสนามที่จะนั่งเชียร์ก็เป็นอันเลิกร้อง
จึงมักจะร้องกันได้เพียงครึ่งเพลงเท่านั้น
เนื้อร้องของเพลงจรรยานักกีฬานี้เริ่มต้นด้วย
"เมื่อแมวหมาเล่นกีฬามันท้ากัด"
จึงเรียกเพลงนี้กันติดปากว่า "เพลงแมวหมา"
ซึ่งรวมถึงท่านผู้ประพันธ์เพลงนี้ด้วย
ครั้งที่ผู้เขียนยังทำงานอยู่ที่มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในพระบรมราชูปถัมภ์นั้น วันหนึ่งท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา
มาลากุล มาประชุมที่หอวชิราวุธานุสรณ์
พอท่านเห็นหน้าผู้เขียนท่านก็กระเซ้าว่า
เธอเป็นนักเรียนวชิราวุธ เธอร้องเพลงที่ฉันแต่งได้ไหม
เมื่อผู้เขียนกราบเรียนว่า ร้องได้ครับ
เพลงมหาวชิราวุธราชสดุดีใช่ไหมครับ ท่านกลับตอบว่า ไม่ใช่
! เพลงแมวหมากัดกันไง พอกราบเรียนว่าร้องได้ครับ
ท่านก็เลยเล่าว่า "เจ้าคุณภะรต มาขอให้ฉันแต่งเพลงให้
ฉันก็ไม่รู้จะแต่งอย่างไร พอดีเหลือบไปเห็นหมากับแมวกัดกัน
ฉันก็เลยแต่งว่า เมื่อแมวหมาเล่นกีฬามันท้ากัด
จงใจฟัดเหวี่ยงปล้ำขม้ำหมาย"
นี้คือที่มาของเพลงจรรยานักกีฬาจากคำบอกเล่าของท่านผู้ประพันธ์
 |
พระยาภะรตราชา
ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย
ขณะนั่งชมการแข่งขันวอลเลย์บอลระหว่างคณะดุสิตกับคณะพญาไท
พ.ศ. ๒๕๑๖ |
เมื่อนักกีฬาและกองเชียร์เดินเข้าสู่ที่นั่งเรียบร้อยแล้ว
นักกีฬาทั้งสองทีมจะเดินมาตั้งแถวและรับโอวาทจากท่านผู้เป็นประธาน
แล้วจึงเริ่มการแข่งขันไปเป็นลำดับ
จบการแข่งขันแล้วนักกีฬาทั้งสองทีมจะมาตั้งแถวพร้อมกองเชียร์
ประธานกีฬาประเภทนั้นๆ
จะกล่าวรายงานผลการแข่งขันต่อท่านผู้เป็นประธาน
แล้วหัวหน้าชุดที่ชนะในวันนั้นจะกล่าวนำนักกีฬาและกองเชียร์เปล่งเสียง
"ชโย" ให้แก่คู่แข่งขัน
ข้างฝ่ายนักกีฬาและกองเชียร์อีกฝ่ายก็จะเปล่ง "ชโย" ตอบ
แล้วจึงแยกย้ายกันกลับคณะ แต่สำหรับรอบชิงชนะเลิศนั้น
เมื่อประธานกีฬากล่าวรายงานผลการแข่งขันแล้ว
จะเชิญท่านผู้เป็นประธานมอบถ้วยรางวัลการแข่งขันกีฬานั้นๆ
ให้แก่หัวหน้าชุดที่ชนะเลิศ
เมื่อได้รับถ้วยจากท่านผู้เป็นประธานแล้ว
คณะที่ชนะเลิศได้ครองถ้วยในวันนั้นจะเดินแห่ถ้วยนั้นผ่านไปยังคณะต่างๆ
ทั้งเด็กโตและเด็กเล็ก แล้วไปสิ้นสุดที่คณะของตน
เวลาที่แห่ถ้วยผ่านคณะไหนก็จะมีการเปล่งเสียง "ชโย"
ให้แก่นักเรียนในคณะนั้นๆ
ข้างฝ่ายนักเรียนในคณะนั้นก็จะเปล่งเสียง "ชโย" ตอบรับ
 |
คณะพญาไท แห่ถ้วยรักบี้ฟุตบอลรุ่นใหญ่
(ไม่ทราบปี) |
ธรรมเนียมการแห่ถ้วยนี้ว่ากันว่าได้แบบอย่างมาจากอังกฤษ
แต่จะเริ่มมีขึ้นในประเทศไทยเมื่อไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
ในชั้นนี้คงพบแต่การแห่ถ้วยฟุตบอลในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งมีบันทึกในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันประจำวันที่ ๔
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๘ ว่า
"เวลาบ่าย ๔ โมง ทรงรถยนตรพระที่นั่ง
เสด็จสนามฟุตบอลสโมสร(กลาง)เสือป่า ประทับบนพลับพลายก
ทอดพระเนตร์ฟุตบอลสำรับขาวคล่องเล่นจนเลิก ฝ่ายขาวได้
๓ ฝ่ายแดงได้ ๑
แล้วโปรดพระราชทานถ้วยของหลวงในการแข่งขันแก่นักเรียนนายเรือซึ่งเป็นพวกชนะ
โปรดพระราชทานรางวัลที่ ๑
แลแหนบสายนาฬิกาลงยามีพระมหามงกุฎ
แก่นักเรียนนายเรือพวกชนะทุกคน กับพระราชทานรางวัลที่
๒ ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิศณุโลก แก่กรมราบหลวง ร.อ.
รางวัลที่ ๓ ของพระยาประสิทธิ์ศุภการ แก่กองม้าหลวง
ร.อ.
แล้วเสด็จประทับทอดพระเนตรกระบวนแห่ถ้วยทองของทหารเรือ
กระบวนที่ ๑
มีรถยนตรสีทองแดงหลังที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์เคยทรง
แต่งด้วยดอกไม้สด แห่ถ้วยทอง มีรถตามประมาณ ๒๐ คัน
กับแตรวงทหารเรือบรรเลงอีกคันหนึ่ง กระบวนที่ ๒
ทหารม้าแตรหมู่นำ รถเทียมม้าเทศ ๔ มีรถเทียมม้าเทศ ๒
อีก ๔ - ๕ หลัง คณะฟุตบอลม้าหลวงนั่ง
กับอีกคันหนึ่งเป็นรถพิณพาทย์ กระบวนที่ ๓
ของกรมราบหลวง ร.อ. เป็นกระบวนเดินท้าว
มีแตรวงนำกรมราบหลวง กองพรานหลวง กองเดินข่าวหลวง
กองพันพิเศษ
กรมนักเรียนเสือป่าหลวงแลนักเรียนมหาดเล็กเดินเป็นลำดับ
กระบวนกลองยาวของกรมพรานหลวงอยู่รั้งท้าย"
[๑]
|
 |
รวิน (กฤษฎา) ยันตดิลก
หัวหน้าคณะพญาไท
รับพระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศการแข่งขันกรีฑา
วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๗ |
แม้จะมีการแข่งขันและมอบถ้วยรางวัลแก่คณะที่ชนะเลิศการแขงขันในแต่ละชนิดกีฬาในระหว่างปีแล้ว
ต่อมาในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัลประจำปีของวชิราวุธวิทยาลัยในตอนสิ้นปีการศึกษานั้น
เมื่อการแข่งขันกรีฑาและการแสดงหน้าพระที่นั่งจบลงแล้ว
หัวหน้าคณะที่ชนะเลิศการแข่งขันกีฬาประเภทและรุ่นต่างๆ
ในปีนั้นจะไปตั้งแถวที่หน้าพลับพลายกที่ประทับที่ด้านข้างหอประชุม
ท่านผู้บังคับการกราบบังคมทูลเบิกหัวหน้าคณะเข้าเฝ้าฯ
รับพระราชทานถ้วยรางวัลตามลำดับ
เริ่มจากถ้วยพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสำหรับการแข่งขันกรีฑา
ไปจนครบทุกชนิดกีฬาที่มีการแข่งขันในปีนั้นๆ