 |
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๗ - ๑๕ กันยายน ๒๕๖๑ |
จดหมายวชิราวุธวิทยาลัยสองตอนนี้
ขออุทิศพื้นที่ให้แด่ศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์
สมุทวณิช นักเรียนเก่า
และอดีตผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย
ซึ่งถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑
เมื่อศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช หรือ
ปิ๋ง หรือ พี่ปิ๋ง ของพี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ
ถึงอนิจกรรมนั้น
มีนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยหลากรุ่นได้ร่วมกันแสดงความอาลัยทางหน้าสื่อสังคมออนไลน์กันเป็นจำนวนมาก
และในบทความไว้อาลัยหลายๆ บทมีการหยิบยกภาพหนังสือ
ชีวิตที่เลือกได้ มานำเสนอ
ซึ่งหนังสือชีวิตที่เลือกได้นี้พี่ปิ๋งได้กล่าวถึงอัตชีวประวัติตั้งแต่เยาว์วัย
จนก้าวเข้ามาสู่รั้ววชิราวุธวิทยาลัยตั้งแต่ชั้นประถมปีที่
๑ จนออกไปเรียนที่อินเดียชั่วระยะเวลาหนึ่ง
แล้วกลับมาเรียนต่อจนจบชั้นเตรียมอุดมศึกษา
แผนกวิทยาศาสตร์ที่วชิราวุธวิทยาลัยในปีการศึกษา
๒๕๐๓
โดยส่วนตัวผู้เขียนเข้าเรียนในวชิราวุธวิทยาลัยไม่ทันพี่ปิ๋ง
เพราะท่านจบไปตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๐๓
ส่วนตัวผู้เขียนเพิ่งเข้าเรียนในวชิราวุธวิทยาลัยเมื่อปีการศึกษา
๒๕๐๗ แต่ก็รู้จักพี่ปิ๋งผ่านหนังสือรุ่น ๓๓
ซึ่งเป็นต้นแบบของการทำหนังสือรุ่นของวชิราวุธวิทยาลัยมาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน
จนจบผู้เขียนเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕
ในปีการศึกษา ๒๕๑๖ แล้ว
เวลาว่างจากการเรียนก็มักจะไปขลุกอยู่กับเพื่อนๆ
ที่สมาคมนักเรียนเก่าฯ
ซึ่งเวลานั้นยังมีที่ทำการอยู่ที่พระราชอุทยานสราญรมย์
จึงได้มีโอกาสพบตัวและได้รับความกรุณาจากพี่ปิ๋งเป็นครั้งแรกก็ในช่วงเวลานั้น
เนื่องจากงานวชิราวุธานุสรณ์ที่เคยจัดที่พระราชอุทยานสราญรมย์ต่อเนื่องกันมาหลายปีต้องล้มเลิกไปตั้งแต่
พ.ศ. ๒๕๑๖ เพราะสถานการณ์บ้านเมืองไม่อำนวย
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๗ คณะนักเรียนเก่าฯ
ได้หารือกันที่จะจัดกิจกรรมเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ซึ่งเป็นันคล้ายวันสวรรคต
ในการหารือกันนั้นพี่ปิ๋งได้เสนอให้จัดแสดงละครพระราชนิพนธ์เรื่อง
ฉวยอำนาจ
โดยออกอากาศเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์สีช่อง ๓
หนองแขม เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงกำหนดตัวผู้แสดง
ซึ่งก็ได้รับความกรุณาจากนักเรียนเก่าอาวุโสรุ่นอาวุโส
คือนักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวง
พระมหามหามนตรีศรีองรักษสมุห (ฉัตร โชติกเสถียร)
ซึ่งท่านให้เรียกตัวท่านว่าพี่
เพราะเราเป็นลูกพ่อเดียวกันคือ ล้นเกล้าฯ
รัชกาลที่ ๖ มาร่วมแสดงกับนักเรียนเก่ารุ่นถัดลงมา
เช่น นพ.ยุทธ โพธารามิก ม.ร.ว.พรรธนภณ (ฉัตรโสภณ)
สวัสดิวัตน์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช พ.ท.น.พ.ชูฉัตร
กำภู ณ อยุธยา (ยศขณะนั้น) พี่ดำรงพันธ์ พูนวัตถุ
พี่วิโรจน์ นวลแข ฯลฯ มี อาจือ วิจิตร คุณาวุฒิ
ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีตุ๊กตาทองของเมืองไทยเป็นผู้กำกับการแสดง
ส่วนตัวผู้เขียนและเพื่อนนักเรียนเก่ารุ่น ๔๖
อีกสามคนก็ได้รับเกียรติร่วมแสดงเป็นพลทหารซึ่งมีบทบาทเพียงเล็กน้อย
 |
ภายในโรงละครทวีปัญญาสโมสร
ที่พระราชอุทยานสราญรมย์ |
การซ้อมละครเริ่มในตอนเย็นเรื่อยไปจนถึงเวลาค่ำที่โรงละครมุมพระราชอุทยานสราญรมย์
ซึ่งเดิมเป็นโรงละครของทวีปัญญาสโมสรในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
และเป็นส่วนหนึ่งของที่ทำการสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์
นักแสดงแต่ละท่านแม้จะเป็นเพียงนักแสดงสมัครเล่น
แต่ก็ล้วนแสดงกันสุดความสามารถ
ส่วนผู้เขียนและเพื่อนอีกสามคนก็มีรับหน้าที่เป็นผู้ชม
เว้นไว้แต่บางเวลาที่ถึงบทก็ต้องไปเข้าฉากเป็นทหารยามยืนเฝ้าประตู
ภายหลังจากที่คณะละครสมัครเล่นนี้ไปแสดงออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีช่อง
๓ หนองแขม (ปัจจุบันคือช่อง ๓๓) แล้ว
พี่ปิ๋งได้มาแจ้งให้ผู้ร่วมแสดงทราบว่า
ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์
นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นได้และดงความชื่นชมผ่านมาทางพี่ปิ๋ง
และขอให้สมาคมฯ
จัดแสดงออกอากาศอีกครั้งให้ประชาชนที่พลาดการรับชมในการออกอากาศครั้งแรกได้รับชมอีกครั้งทางสถานีไทยโทรทัศน์
ช่อง ๙ อสมท. บางลำพู
คณะละครจึงต้องไปแสดงออกกาศซ้ำอีกครั้งในเดือนมกราคม
พ.ศ. ๒๕๑๘
 |
อนึ่ง
เมื่อพี่ปิ๋งได้รับพระบรมราชานุมัติให้ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยต่อจากศาสตราขารย์
ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙
พี่ปิ๋งได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ
ชีวิตที่เลือกได้
เนื้อหาส่วนใหญ่กล่าวถึงการเล่าเรียน
ชีวิตความเป็นอยู่และเพื่อนๆ ในวชิราวุธวิทยาลัย
โดยเล่าว่า
ได้เข้เรียนในวชิราวุธวิทยาลัยตั้งแจ่ชั้นประถมปีที่
๑ เป็นนักเรียนชุดแรกของคณะเด็กเล็ก ๓
ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้น
แล้วย้ายไปอยู่คณะพญาไทตอนเป็นเด็กโต
แล้วลาออกไปเรียนที่อินเดียชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ก่อนจะกลับมาเรียนต่อที่วชิราวุธวิทยาลัยจนจบชั้นเตรียมอุดมศึกษา
แผนกวิทยาศาสตร์ ในปีการศึกษา ๒๕๐๓
ในระหว่างที่กำลังเรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษา
(มัธยมปลาย) นั้น
พี่ปิ๋งได้เป็นหัวแรงจัดทำหนังสือรุ่น ๓๓
เป็นหนังสือรุ่นเล่มแรกของวชิราวุธวิทยาลัย
และเป็นต้นแบบให้น้องๆ
นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยได้คิดจัดทำหนังสือรุ่นต่อๆ
กันมา โดยในการจัดทำหนังสือรุ่นคราวนั้น
พี่ปิ๋งได้เป็นผู้สืบค้นว่า
นับแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ
ให้รวมโรงเรียนราชวิทยาลัยเข้ากับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
และพระราชทานนามให้ใหม่ว่า
โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ใน พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้ว
มีนักเรียนที่จบการศึกษาชั้นประโยคมัธยมบริบูรณ์
(มัธยมปลาย) เป็นรุ่นแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑
พี่ปิ๋งจึงนับรุ่นที่จบการศึกษาใน พ.ศ. ๒๔๗๑
เป็นรุ่นที่ ๑
แล้วนับเรียงปีมาจนถึงรุ่นที่พี่กำลังศึกษาอยู่เป็นรุ่นที่
๓๓
แล้วจึงนับรุ่นต่อกันมาจนถึงรุ่นปัจจุบันที่กำลังจะจบการศึกษาในปีการศึกษา
๒๕๖๑ นี้เป็นรุ่นที่ ๙๑
เมื่อจบชั้นมัธยมปลายจากวชิราวุธวิทยาลัยแล้ว
พี่ปิ๋งสอบเข้าไปเรียนต่อในคณะรัฐศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แต่เรียนอยู่ได้เพียงปีเดียวก็สอบชิงทุนโคลัมโบได้ไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์
จบแล้วจึงไปเรียนต่อปริญญาโท เอก
ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา
แล้วกลับมารับราชการเป็นอาจารย์ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ก่อนที่จะย้ายไปเป็นอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เนื่องจากแผนการศึกษาชาติซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่
๒
กำหนดให้โรงเรียนชายที่เปิดสอนชั้นมัธยมปลายหรือชั้นเตรียมอุดมศึกษา
ให้เปิดสอนได้เฉพาะแผนกวิทยาศาสตร์
ส่วนโรงเรียนสตรีก็ให้เปิดสอนเฉพาะแผนกอักษรศาสตร์หรือที่ต่อมาเรียกว่าแผนกศิลป
นักเรียนสตรีที่สนใจจะเรียนแผนกวิทยศาสตร์ก็ต้องไปฝากเรียนสมทบในโรงเรียนชาย
และนักเรียนชายที่ประสงค์จะเรียนแผนกอักษรศาสตร์
ก็ต้องไปเรียนสมทบในโรงเรียนสตรี
วชิราวุธวิทยาลัยในฐานะที่เป็นโรงเรียนชายล้วน
จึงต้องเปิดสอนเฉพาะแผนกวิทยาศาสตร์
อีกทั้งสถานะเป็นโรงเรียนประจำที่นักเรียนต้องกินนอนอยู่ในโรงเรียน
ถ้าจะไปเรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษา
แผนกอักษรศาสตร์ก็ต้องลาออกไปเรียนที่โรงเรียนอื่นเพียงสถานเดียว
พี่ปิ๋งจึงอยู่ในสถานะ ชีวิตที่เลือกไม่ได้
ต้องกล้ำกลืนฝืนทนเรียนแผนกวิทยาศาสตร์ไปจนจบการศึกษา
ทั้งนี้พี่ปิ๋งเล่าให้ฟังว่า
ตอนสอบไล่ชั้นเตรียมอุดมศึกษาปีที่ ๒
(ปัจจุบันคือมัธยมปีที่ ๖)
ซึ่งเป็นการสอบข้อสอบรวมของกระทรวง
ศึกษาธิการพร้อมกันทั่วประเทศนั้น
เมื่อสอบเสร็จในแต่ละวันแล้วพี่ปิ๋งจะจดจำข้อสอบกลับมาเฉลยคำตอบและรวมคะแนนที่ทำได้ในแต่ละวัน
เมื่อมั่นใจแล้วว่า
เมื่อรวมคะแนนสอบที่ทำได้ในแต่ละวันรวมกันได้มากกว่าร้อยละ
๕๐
ของคะแนนรวมทุกวิชาซึ่งเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าสอบไล่ได้แล้ว
ในวันสุดท้ายของการสอบที่เหลือวิชาสอบอีกหนึ่งวิชาในตอนครึ่งวันเช้า
พี่ปิ๋งก็เลยไม่เข้าสอบ
แต่ก็สามารถสอบไล่ได้ด้วยคะแนนรวมร้อยละ ๕๐ เศษ
อนึ่ง ในหนังสือ ชีวิตที่เลือกได้
มีความตอนหนึ่งที่พี่ปิ๋งกล่าวถึงผู้เขียนว่า
เป็นผู้เสนอความคิดให้จัดงานฉลอง ๕๐
ปีการรวมโรงเรียนเป็นวชิราวุธวิทยาลัย
แล้วพี่ปิ๋งจึงได้นำความคิดนี้ไปเสนอต่อคณะกรรมการสมาคมนักเรียนเก่าฯ
จนได้มีการทำบุญถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
บนหอประชุมในตอนเย็นวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๙
และมีงานเลี้ยงฉลองกันที่สนามหน้าในค่ำวันนั้น
ซึ่งในระหว่างงานเลี้ยงฉลองวันนั้นพี่จักรพันธ์
โปษยกฤต
เพื่อนรักของพี่ปิ๋งได้สเก๊ตพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นภาพลายเส้นดินสอ
แล้วพี่ปิ๋งได้จัดการประมูลภาพลายเส้นในงานคืนนั้น
ซึ่งในที่สุดรุ่น ๓๓ ๓๔ ๓๕ เป็นผู้ประมูลได้
และได้มอบภาพดังกล่าวให้เป็นสมบัติของสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์
โดยเงินรายได้จากการประมูลภาพได้นำไปสมทบกับรายจากการจัดงานและจากการจัดหน่ายหนังสือที่ระลึก
๕๐ ปี วชิราวุธวิทยาลัย
เป็นทุนในการจัดสร้างสะพานลอยข้ามถนนสุโขทัยซึ่งยังคงใช้งานกันต่อมาจนถึงปัจจุบัน